สร้อยคออำพัน
จากการศึกษาทางประวัติศาสตร์ได้มีการค้นพบว่า มนุษย์ให้ความสำคัญกับหินและแร่ธาตุต่างๆ นับเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว โดยการใช้หินเป็นเครื่องประดับ เครื่องสำอางและใช้เป็นยารักษาโรค หินบางชนิดมีประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกับจิตใจ สามารถบำบัดรักษาอาการบางอย่างได้ มีการใช้หินเป็นเครื่องรางของขลังเพื่อปกป้องคุ้มครองอันตรายในการเดินทางทั้งทางบกและทางน้ำ เชื่อกันว่าหินที่มีความสวยงามและสมบูรณ์ มีสีสันสดใสจะนำมาซึ่งความโชคดีให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ ในทางตรงกันข้าม หินที่มีสีหมองมัวจะนำโชคร้ายมาสู่ผู้ครอบครอง บางครั้งจะทำหน้าที่เตือนภัยถ้าหินนั้นมีรอยร้าวหรือแตกหัก
หินแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่เหมาะสมแตกต่างกันออกไป สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความอาถรรพณ์ มหัศจรรย์และความลึกลับ หินบางชนิดใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่งร่างกาย เพื่อบ่งชี้ถึงสถานะทางสังคม ในสมัยโบราณหินบางชนิดใช้กันเฉพาะในราชวงศ์ชั้นสูงเท่านั้น
หิน : ความเชื่อในโชคลาง
ความเชื่อในเรื่องของการใช้หินเพื่อเป็นเครื่องรางของขลังนั้นมีมาตั้งแต่ยุคโบราณ เนื่องจากมีความเชื่อกันว่า หินบางชนิดเมื่อมีการนำมาคำนวณกับ วัน เดือน ปีเกิด ของผู้สวมใส่ จะสามารถนำโชคและเพิ่มพลังแห่งการปกป้องคุ้มครองรวมทั้งขจัดภัยอันตรายให้แก่เจ้าของได้ จึงนิยมที่จะมอบหินที่ตนเชื่อว่าเป็นเครื่องรางคุ้มภัยให้แก่บุคคลอันเป็นที่รัก เพราะเชื่อว่าหินหรือรัตนชาติทุกก้อนมีรังสีเช่นเดียวกับดาวเคราะห์อื่นๆ และรังสีนั้นมีผลต่อมนุษย์ ความเชื่อนี้มีมากในแถบเอเชีย อินเดีย อียิปต์ รวมถึงไทยด้วย จึงได้มีการนำหินที่มีค่าและหายากหรือที่นิยมเรียกกันว่าพลอย มาใช้สวมใส่ให้ถูกโฉลกกับ วัน เดือน ปีเกิด ของตนเอง เพื่อความเป็นสิริมงคล อาทิ
-
อะความารีน ( Aquamarine ) นักเดินเรือในสมัยโบราณเชื่อว่าเป็นหินที่นำโชคมาให้ ใช้ติดตัวยามเดินทางจะสามารถบรรเทาอาการเมาคลื่นและอุบัติภัยทางน้ำได้
-
อาเกต ( Agate ) ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าสามารถป้องกันภยันตรายให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ เป็นตัวแทนของทรัพย์สินและเพิ่มพูนความร่ำรวย
-
ปะการัง ( Coral ) เชื่อกันว่าให้พลังในการปกป้องคุ้มครองเมื่อยามเดินทาง โดยเฉพาะการเดินทางไกลจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง
|
|
|
|
อความารีน |
บุษราคัม |
มอร์กาไนต์ |
ซันสโตน |
หิน : ความเชื่อแห่งเผ่าพันธุ์
ชนเผ่าหลายเชื้อชาติเชื่อในเรื่องของการใช้หินเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ซึ่งมีมานานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หินสีต่างๆ ได้ถูกนำมาใช้เพื่อการติดต่อกับวิญญาณหรือเทพเจ้า รวมถึงในพิธีกรรมความเชื่ออื่นๆ อย่างหลากหลาย เช่น
-
ชาวอียิปต์โบราณรู้จักความมหัศจรรย์ของ ลาพิส ลาซูลี ( Lapis Lazuli ) มานานหลายศตวรรษแล้ว โดยมีความเชื่อว่า ลาพิส เป็นหินแห่งสวรรค์และพลังของเทพเจ้า เป็นหินที่ชี้นำให้โมเสส ได้ร่างบัญญัติ 10 ประการขึ้นมา เป็นหินแห่งความรู้ และสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจ เกียรติยศชื่อเสียง ให้พลังคุ้มครองที่สูงมาก มีการนำมาใช้เป็นเครื่องสำอางโดยการบดให้เป็นผง สำหรับตกแต่งดวงตาให้สวยงาม และยังเชื่อว่าเมื่อนำผงลาพิส ไปผสมกับน้ำในแม่น้ำไนล์แล้ว จะเป็นน้ำยาล้างตาที่มีประสิทธิภาพช่วยทำให้ดวงตาสดใส และใช้เพื่อการถอนพิษหรือบำบัดอาการที่เกี่ยวกับการ
ระคายเคืองในดวงตา จึงนิยมพกพาผงบดจากลาพิส ติดตัวไว้เสมอ
-
ชาวอินเดียนแดงหลายเผ่าเชื่อว่าต้นไม้และหิน มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ เทอร์ควอยซ์ ( Turquoise ) และ อำพัน ( Amber ) เป็นหินที่เผ่านาโวนำมาใช้ในพิธีเรียกฝน เผ่าอาปาเช่นำหินชนิดนี้มาบดให้ละเอียดแล้วใช้เป็นยาสำหรับบำบัดโรคต่างๆ ตามความเชื่อของเผ่าพันธุ์
-
ชนเผ่าอะบอริจิน ( Aborigine )ในประเทศออสเตรเลียเชื่อว่าภายใน คริสตัล มีวิญญาณของเทพเจ้าแฝงอยู่ จึงใช้ หินคริสตัลสายรุ้ง ( Rainbow Crystal ) ในพิธีขอฝนจากเทพเจ้าเพื่อให้เกิดความชุ่มชื้นแก่แผ่นดิน
-
ชาวบาบิโลนก็มีความเชื่อในพลังอำนาจของหิน ด้วยการใช้หินในการทำนายโชคชะตาราศี
-
ชาวสเปนในอเมริกากลางและอเมริกาใต้มีความเชื่อเรื่องการนำหินมารักษาโรค ด้วยการนำหินมาสัมผัสตามร่างกายของผู้ป่วย
-
ในประเทศจีนนิยมใช้เครื่องประดับที่ทำจากหยก เพื่อเป็นเครื่องรางสำหรับการมีอายุยืนยาว แต่ในแถบอเมริกากลางเชื่อว่าหยกที่บดละเอียดนำมาใช้เป็นยาบำรุงกำลังที่ดี
หิน : จากอดีตถึงปัจจุบัน
-
ควอร์ตซ์ใสไม่มีสี ( Rock Crystal ) ปัจจุบันนิยมนำมาทำลูกปัดและแกะสลักเป็นรูปต่างๆ นอกจากนี้ยังมีบทบาทเป็นอย่างมากในทางวิทยาศาสตร์ เช่นใช้ควบคุมความถี่ของคลื่นวิทยุและความเที่ยงตรงของนาฬิกา อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้หลายชนิดในทางการแพทย์ก็ต้องอาศัยคลื่นรังสีของคริสตัลเช่น เครื่องมือทางจักษุวิทยา ใช้ทำเลนส์แว่นตาและเลนส์กล้องจุลทรรศน์ เป็นต้น
-
เพทาย ( Zircon ) เป็นหินที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่สมัยอดีต ในยุคปัจจุบัน Zircon oxide สามารถนำไปใช้ทำวัสดุดินเผาเคลือบทุกชนิด ทำวัสดุทนไฟ เป็นฉนวนป้องกันความร้อน ทำไส้หลอดไฟฟ้า เครื่องกรองรังสี X เป็นต้น โลหะของ Zirconium ที่บริสุทธิ์นั้นได้ถูกนำไปใช้ในการสร้างเครื่องกำเนิดปฏิกรณ์ปรมาณู
-
เพชร ( Diamond ) ใช้สำหรับเป็นผงขัดในการเจียระไนเพชรพลอยต่างๆ ใช้ตัดเพชรด้วยกันหรือตัดแร่ ตัดกระจก ฯลฯ เพชรที่มีสีดำและทึบแสง ( Cabonado ) ใช้ฝังในเหล็กเพื่อสำหรับเป็นหัวเจาะหินแข็งๆ หรือใช้ในอุตสาหกรรมประเภทอื่น
|
|
|
|
โรโดโครไซต์ |
รูไทล์ควอทซ์ |
เบริล |
ไพลิน |
หินนำโชคที่น่าสนใจ
อเมทิสต์ ( AMETHYST ) : หินแห่งจิตวิญญาณที่สูงส่ง
อเมทิสต์เป็นหินที่มีสีม่วงอ่อนไปจนถึงม่วงเข้ม เป็นหินที่มีพลังในการถ่ายทอดสูง เพิ่มความไวของการรับรู้ทางประสาทสัมผัส ( Sense ) ได้เป็นอย่างดี ช่วยให้จิตใจสงบและก่อให้เกิดสมาธิ ชาวตะวันตกเชื่อว่าสีม่วงเป็นสีที่ให้พลังทางจิตสูง พระที่มีตำแหน่งทางศาสนาสูงจะนิยมมีสิ่งของที่มีสีม่วงติดตัวไว้เสมอ พระนิกายคาทอลิกจะสวมแหวนที่มีหินนี้ตอนทำพิธีในโบสถ์ Amethyst เป็นคำในภาษากรีก แปลว่าว่า ไม่เมา ชาวโรมันและชาวกรีกโบราณจึงมีความเชื่อกันว่าถ้าดื่มสุราขณะที่สวมแหวน Amethyst อยู่จะไม่ทำให้เมาสุรา สามารถควบคุมอารมณ์ของคนเมาได้ นอกจากนั้นอเมทิสต์ยังมีคุณสมบัติในการช่วยขจัดความเครียด รักษาโรคนอนไม่หลับ หรือช่วยปลอบใจคนที่ฝันร้าย
เทอร์ควอยซ์ ( TURQUOISE ) : หินแห่งพลังอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์
เทอร์ควอยซ์เป็นหินสีเขียวไข่กาหรือสีน้ำทะเล มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หินมูลนกการเวกชาวอินเดียนแดงเผ่าต่างๆขนานนามเทอร์ควอยซ์ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งท้องฟ้า เป็นดั่งลมหายใจของชีวิตและวิญญาณ จึงสวมใส่เทอร์ควอยซ์ ไว้เป็นเครื่องประดับบนร่างกาย แต่ในอียิปต์มีความเชื่อว่าหินนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งสุริยเทพ เป็นตัวแทนของพลังอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ มีคุณสมบัติในการบำบัดรักษาโรค
โกเมน ( GARNET ) : หินแห่งชัยชนะ
โกเมนเป็นหินที่มีหลายสีแต่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสีแดง โกเมนมีความแตกต่างกันไปตามส่วนผสมของแร่ธาตุ อาจมีสีเขียวหรือสีเทา ในสมัยโบราณใช้โกเมนเป็น เครื่องรางแห่งชัยชนะและอำนาจ ซึ่งจะต้องเป็นหินสีแดงเท่านั้น โกเมน หรือ Garnet ( กรานัตส์ ) เป็นคำในภาษาละติน หมายถึงเมล็ดพันธุ์ เชื่อกันว่าเป็นตัวแทนความอยู่รอดปลอดภัยของนักเดินทาง นอกจากนั้นยังเป็นหินที่ให้ความแข็งแกร่งแก่ร่างกาย ความกระตือรือร้น ตลอดจนชื่อเสียงเกียรติยศและช่วยปรับสมดุลด้านความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
หยก ( JADE ) : หินแห่งความศักดิ์สิทธิ์
ชาวจีนโบราณเชื่อว่าหยกเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ มีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องคุ้มครอง นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ส่งเสริมความก้าวหน้า ช่วยให้มีอายุยืนและสุขภาพแข็งแรง ชาวจีนจึงนิยมสวมหยกติดตัวตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้หยกยังเหมาะกับผู้ที่มีจิตใจอ่อนไหวและท้อแท้ เมื่อสวมใส่จะช่วยสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยทำให้จิตใจสงบ
พลอยตาเสือ ( TIGER's EYE ) : หินตาที่สาม
เป็นพลอยที่มีสีเหลืองเคลือบน้ำตาลดุจไหม บางครั้งมีลายคล้ายลายไม้ หรือมีลักษณะแวววับคล้ายกับลายของเสือ มีคุณสมบัติเหมือนกับตาเสือ หรือตาแมว ( CAT’s EYE ) สามารถมองเห็นได้ในความมืด เชื่อกันว่าพลอยตาเสือช่วยในการอ่านและคาดเดาสถานการณ์ได้ล่วงหน้า ทำให้มีความหนักแน่นในการตัดสินใจ เป็นหินที่เหมาะกับการแข่งขัน
ควอร์ตซ์ ( QUARTZ ) : พลังแห่งชีวิตและความแข็งแกร่ง
มีลักษณะเป็นหินใสไม่มีสี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หินคริสตัล ( Rock Crystal ) คำว่า Crystal เป็นคำในภาษากรีก หมายถึงน้ำแข็งที่ถูกประดิษฐ์โดยพระเจ้า เชื่อกันว่า คริสตัล เป็นฟอสซิลของน้ำบริสุทธิ์ บางชนิดมีสายแร่เส้นบางๆคล้ายเข็มเย็บผ้ากระจายอยู่ภายในมีหลายสี เช่น
-
สีทอง เรียกว่า ไหมทอง
-
สีเงิน เรียกว่า ไหมเงิน
-
สีฟ้า เรียกว่า ไหมฟ้า
-
สีดำ เรียกว่า แก้วขนเหล็ก เป็นต้น
ลาพิส ลาซูลี ( LAPIS LAZULI ) : หินแห่งเทพเจ้า
ลาพิส รู้จักกันในนามของแซฟไฟร์ ( Sapphire ) เป็นหินที่มีสีน้ำเงินครามและสีน้ำเงินปนเขียว ในเนื้อหินมักจะมีสีเหลืองประอยู่คล้ายกับมีทองคำแทรกในเนื้อหิน แต่ความจริงคือแร่ไพไรต์ ( Pyrite ) ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าหินนี้เป็นหินแห่งเทพเจ้า เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจและเกียรติอันสูงส่ง เป็นหินที่ปกป้องภยันตราย
มหัศจรรย์แห่งหิน
ในอดีตมนุษย์ส่วนใหญ่มองข้ามความสำคัญของพื้นดินและหิน โดยเห็นว่าสิ่งที่ตนเหยียบย่ำอยู่นั้นเป็นสิ่งต่ำที่ไร้ค่า ซึ่งตามความเป็นจริงหากได้ลองพิจารณาดูแล้วจะพบว่าหินนั้นสูงค่า มีความสวยงามอย่างน่าพิศวง มีลวดลายและสีสันพิสดารจนน่าทึ่ง
ปัจจุบันเสน่ห์และความสวยงามของหินที่หลายคนเคยมองข้าม ได้ทำให้หลายคนเหลียวกลับมามองอย่างพิจารณา หินจึงได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อเพ่งพิศถึงความงามและประโยชน์ของการใช้สอยอย่างนานับประการ
ประโยชน์และคุณค่าของหินยังคงมีการศึกษาและค้นหาถึงความมหัศจรรย์กันต่อไปอีก อายุของมนุษย์จำนวนหนึ่งพันคนที่สืบทอดทางสายเลือดกันมาตั้งแต่โบราณ ไม่สามารถเทียบได้กับหินก้อนหนึ่งที่มีอายุนับล้านปี มนุษย์ศึกษาข้อมูลและประวัติศาสตร์ของหินมาอย่างต่อเนื่อง เพราะมันคือ กุญแจไขความลี้ลับที่ซ่อนเร้นมานานนับหมื่นศตวรรษ และเพราะความเก่าแก่นี้เองมนุษย์บางกลุ่มจึงมีความเชื่อว่าหินเป็นเสมือนเครื่องรางของขลัง เป็นศาสตร์อีกโลกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามและท้าทายเพื่อลองดี.