พฤษภาคม - มรกต
มรกต อัญมณีแห่งโชคลาภและความรุ่งเรือง
มรกต (Emerald) เป็นอัญมณีในตระกูลเบริล (Beryl) ซึ่งเป็นอัญมณีตระกูลเดียวกันกับอะความารีน (Aquamarine) จึงมีความแข็ง 7.5 โมส์ (Moh) มีความวาวแบบแก้ว
มรกตเป็นอัญมณีที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยอียิปต์ มีหลักฐานบันทึกไว้ว่าพระนางคลีโอพัตราเคยเป็นเจ้าของเหมืองมรกตใกล้ทะเลแดงในอียิปต์และจากการขุดค้นทางโบราณคดี พบว่ามีการแกะสลักมรกตเป็นรูปตัวด้วงและแมลงมีปีกต่าง ๆด้วย บนมงกุฎของพระเจ้าซาร์ (Czar) กษัตริย์แห่งรัสเซียก็ประดับด้วยมรกตด้วย
คำว่า "Emerald" มาจากภาษากรีกว่า Smaragdos แปลว่า หินสีเขียว สีเขียว คือสีที่เป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต สีแห่งความอุดมสมบูรณ์จึงเชื่อกันว่ามรกตนำมาซึ่งโชคลาภ ความร่ำรวยชาวเปรูในสมัยก่อนนับถือมรกตเป็นอัญมณีศักดิ์สิทธิ์เชื่อกันว่ามีอำนาจปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ได้ด้วยความศรัทธาของชาวเปรูพวกเขาได้สร้างศาลเจ้าที่เก็บมรกตจำนวนมากเพื่อสักการะบูชาอัญมณีชนิดนี้
สีของมรกตเป็นสีที่เย็นตา จึงมีผลดีต่อสายตา นอกจากนี้มรกตยังมีพลังช่วยบำบัดอาการอักเสบต่าง ๆ ช่วยรักษาโรคติดเชื้อเรื้อรังสำหรับผู้ที่เหนื่อยล้าจากการทำงานหนักหรือผู้ที่เพิ่งฟื้นจากการเจ็บป่วยหากสวมใส่มรกต อัญมณีชนิดนี้จะช่วยคืนพลังได้
มรกตยังเป็นอัญมณีที่เทพธิดาวีนัส เทพธิดาแห่งความรักโปรดปรานมากเชื่อกันว่ามรกตมีพลังอำนาจทำให้คู่รักมีความซื่อสัตย์ต่อกันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรักที่จริงใจ เหมาะที่จะให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน
ตำนานกำเนิดมรกต
คัมภีร์พระเวทบันทึกไว้ว่ามรกตเกิดจากน้ำดีของอสูรวลาซึ่งถูกเหล่าเทวดาหลอกมาสังหารแล้วแยกชิ้นส่วนร่างกายของอสูรตนนี้ออกอันเนื่องมาจากอสูรวลามีอำนาจเหนือพระอินทร์คอยกดขี่ข่มเหงเทวดาอื่น ๆ น้ำดีเหล่านี้ถูกพญานาคชื่อ วสุกีนำไปแต่ระหว่างทางที่ลงจากสวรรค์ พญานาควสุกีถูกพระครุฑและพญาหงส์ขัดขวางไว้ทำให้พญานาควสุกีกลัวและทำน้ำดีร่วงหล่นลงมาบริเวณเทือกเขามณิกยาหรือบริเวณแนวภูเขาของแอฟริกาใต้กับอเมริกาใต้ในปัจจุบัน และบริเวณเทือกเขาหิมาลัย
แหล่งที่พบมรกต
จากบริเวณต่าง ๆ ที่พญานาควสุกีทำน้ำดีร่วงลงมา ได้กลายมาเป็นแหล่งมรกตในปัจจุบัน ประเทศที่มีมรกตมากที่สุด คือประเทศโคลัมเบียซึ่งขุดเหมืองมรกตกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เหมืองที่มีชื่อ ได้แก่เหมือง Muzo เหมือง Gachala นอกจากโคลัมเบียแล้ว แหล่งมรกตยังมีที่ประเทศซิมบับเวบราซิล โรดีเซีย แถบไซบีเรียในประเทศรัสเซีย อินเดียและปากีสถาน
ในทางวิทยาศาสตร์ มรกตมีสีเขียวเนื่องจากโครเมียมเข้าไปปนในโครงสร้างผลึกมรกตที่ดี คือมรกตที่มีสีเขียวเข้มสดใสสม่ำเสมอทั่วเม็ดไม่มีจุดดำอยู่ภายในเนื้อพลอยแต่โดยธรรมชาติของมรกตแล้วมักจะมีตำหนิภายในเนื้อพลอยเสมอนอกจากนี้มรกตยังเป็นอัญมณีที่เปราะ แตกหักง่าย จึงควรดูแลรักษาอย่างระมัดระวังไม่ควรให้ถูกกระแทกมากเกินไป หรือโดนความร้อนสูง หรือโดนกรดกัดแก้ว (Fluoricacid) อย่างไรก็ตาม มรกตยังคงเป็นอัญมณีที่เป็นที่นิยมและมีราคาสูงเพราะไม่สามารถหาอัญมณีชนิดอื่นที่มีสีเขียวสดใสอย่างมรกตมาทำเป็นเครื่องประดับแทนได้นอกจากเพชรสีเขียวซึ่งมีราคาสูงมาก
มิถุนายน - มุก
มุก...อัญมณีจากสิ่งมีชีวิต
ไข่มุก อัญมณีแห่งความบริสุทธิ์ที่สตรีทั่วโลกหลงใหลนั้นตามตำนานในคัมภีร์พระเวทบันทึกไว้ว่า ไข่มุกเกิดจากฟันของอสูรวลาฟันเหล่านี้ร่วงหล่นลงมาบนโลกมนุษย์แล้วหลุดเข้าไปอยู่ในเปลือกหอยมุกทำให้เกิดมุกขึ้น
แต่แท้จริงแล้วไข่มุกเกิดจากการที่มีเม็ดทรายหรือสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในตัวหอยมุกทำให้หอยมุกเกิดความระคายเคืองจึงต้องขับ “ น้ำมุก ” (Narce) ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ออกมาเคลือบสิ่งปลอมนั้น น้ำมุกที่หอยมุกขับออกมาทำให้สิ่งแปลกปลอมนั้นมีความแวววาวยิ่งหอยมุกขับน้ำมุกออกมาเคลือบนานเท่าไรสิ่งแปลกปลอมนั้นก็มีความแวววาวและความงดงามมากขึ้นเท่านั้น
ในปัจจุบัน มีมุกเลี้ยงซึ่งเกิดขึ้นโดยการเลียนแบบการเกิดมุกธรรมชาติ นั่นคือใส่แกนของไข่มุกเข้าไปในตัวหอยมุก แล้วนำกลับลงไปในทะเลหอยมุกก็จะขับน้ำมุกออกมาเคลือบไปเรื่อย ๆ ประมาณครึ่งปีจึงนำหอยมุกกลับขึ้นมาวิธีการเลี้ยงหอยมุกนี้พัฒนาขึ้นโดยโคคิจิ มิกิโมโตะ (Kokichi Mikimoto) เมื่อ ค .ศ . 1893
ไข่มุกไม่ได้มีเพียงแค่สีขาวเท่านั้น ยังมีสีเหลือง สีชมพู และสีดำแต่ไม่ว่าไข่มุกจะมีสีใด ลักษณะของไข่มุกที่ดีควรมีทรงกลม แวววาวและสะอาด
มุก (Pearl)มุก... อัญมณีเลอค่า
มนุษย์เรารู้จักไข่มุกมาเป็นเวลานานแล้วเชื่อกันว่ามีการค้นพบไข่มุกครั้งแรกในบริเวณตะวันออกกลาง ว่ากันว่าพระนางคลีโอพัตราทรงใช้ตุ้มหูมุกเป็นเครื่องประดับและมักจะจุ่มตุ้มหูมุกลงไปในเหล้าองุ่นก่อนดื่มเพราะเชื่อว่าไข่มุกมีพลังช่วยคงความหนุ่มสาวเอาไว้ได้ กวีชาวกรีกนามว่า โฮเมอร์ซึ่งเป็นกวีในยุคเมื่อ 1,200 – 850 ปีก่อนคริสตศักราชได้กล่าวถึงการใช้ไข่มุกเป็นเครื่องประดับของเทพธิดายูโนไว้ในวรรณกรรมของเขาด้วยหญิงสาวชาวโรมันก็นิยมสวมใส่ไข่มุกเช่นเดียวกันส่วนชาวจีนในสมัยก่อนใช้ไข่มุกเป็นเครื่องบอกยศถาบรรดาศักดิ์
สัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์
ไข่มุกเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ด้วยสีอันนุ่มนวลงดงามของอัญมณีชนิดนี้เมื่อหญิงสาวนำมาใส่จึงช่วยกระตุ้นให้ความเป็นกุลสตรีเด่นชัดขึ้นทำให้เกิดความนุ่มนวลอ่อนหวาน นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าหากวางไข่มุกไว้ใต้หมอนจะช่วยให้คู่สามีภรรยาที่ไม่มีบุตรได้มีบุตรสมหวังทางด้านการบำบัดรักษา ไข่มุกเป็นอัญมณีธาตุน้ำจึงเชื่อกันว่าไข่มุกมีพลังช่วยลดไข้หรือโรคที่เกิดจากความร้อนช่วยบำบัดอาการของคนที่เป็นโรคไต หอบหืด เสมหะ และระบบทางเดินหายใจไม่ปกติ
แหล่งผลิตไข่มุก
ในประเทศไทย ภูเก็ตนับเป็นแหล่งผลิตที่มีคุณภาพดีระดับโลกสามารถสนองความต้องการของตลาดโลกได้เป็นจำนวนมาก ส่วนแหล่งเพาะเลี้ยงที่อื่น เช่นญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย พม่า จีน ฟิลิปปินส์
กรกฎาคม - ทับทิม
ราชาแห่งอัญมณี
มณีแดง พลอยแดง ปัทมราช รัตนราช ล้วนหมายถึง ทับทิม หรือราชาแห่งอัญมณีทั้งสิ้น ทับทิมหรือ Ruby ซึ่งแปลว่า สีแดงเป็นอัญมณีในตระกูลคอรันดัม (Corandam) ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไพลิน (Blue Sapphire) ด้วยความแข็งถึง 9 โมส์ (Moh) ซึ่งเป็นรองเพียงแค่เพชรสีแดงที่สดใสสะดุดตา ประกายอันเจิดจ้า ประกอบกับความเชื่อเกี่ยวกับอำนาจลึกลับจึงทำให้ทับทิมเป็นที่ปรารถนามาทุกยุคทุกสมัย
วรรณกรรมอินเดียได้บันทึกลักษณะของทับทิมไว้เมื่อ 2,000 ปีก่อนอันเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เรารู้จักทับทิมมาเป็นเวลานานราชวงศ์อังกฤษก็ใช้ทับทิมประดับเป็นแหวนทองราชาภิเษกโดยสลักเป็นรูปไม้กางเขนเซนท์จอร์จและรอบ ๆตัวทับทิมถูกประดับรายล้อมไว้ด้วยเพชรถึง 26 เม็ด
เครื่องรางนำโชค
กล่าวได้ว่า ทับทิม คือ อัญมณีที่ทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง ในคัมภีร์ไบเบิ้ลยกย่องอัญมณีสีแดงชนิดนี้ว่าเป็นดั่งความมีสติปัญญาอันล้ำเลิศ เชื่อกันว่าผู้ใดมีทับทิมที่มีสีแดงสดใส ไม่มีตำหนิ จะทำให้ผู้นั้นมีอำนาจ ร่ำรวยสุขภาพสมบูรณ์ มีสติปัญญาดี และประสบความสำเร็จในชีวิต
ส่วนทางด้านความรัก ถือกันว่าทับทิม คือ อัญมณีที่ทำให้สุขสมหวังในความรักสีแดงของทับทิมเป็นสีแห่งความรักและอารมณ์ทับทิมจึงมีพลังช่วยกระตุ้นให้กล้าแสดงออกและกล้าแสดงความรู้สึกรักมากขึ้นทำให้สมหวังในเรื่องรัก และยังช่วยผลักดันให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ด้วยทับทิมยังถูกนำมาเป็นของขวัญในวาระครบรอบการแต่งงานปีที่ 15 และปีที่ 40
สำหรับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับเลือด เช่น โลหิตจางหรือผู้ที่เป็นโรคที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศ ทับทิมมีพลังช่วยบำบัดอาการเหล่านี้ได้
ตำนานกำเนิดทับทิม
ตำนานการเกิดของทับทิมในคัมภีร์พระเวทบันทึกไว้ว่าเกิดจากโลหิตของอสูรวลาซึ่งถูกเหล่าเทวดาหลอกมาสังหารแล้วแยกชิ้นส่วนร่างกายของอสูรตนนี้ออกอันเนื่องมาจากอสูรวลามีอำนาจเหนือพระอินทร์คอยกดขี่ข่มเหงเทวดาอื่น ๆ สุริยเทพได้นำโลหิตของอสูรวลาเหาะท้องฟ้าแต่ถูกราวัณซึ่งเป็นพระราชาแห่งศรีลังกาผู้หยิ่งทะนงกับชัยชนะของตนเหนือเหล่าเทพยดากีดขวางไว้ ทำให้เกิดสุริยคราสและสุริยเทพทำโลหิตของอสูรวลาหล่นลงมายังสระลึกแห่งภารตะ
แหล่งผลิตทับทิม
สระลึกแห่งภารตะในปัจจุบันก็คือ พม่า ไทย เขมร เวียดนาม อินเดีย ศรีลังกาอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และเนปาลในปัจจุบันดินแดนเหล่านี้จึงกลายเป็นแหล่งทับทิมที่สำคัญทุกวันนี้
ทับทิมที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก คือ ทับทิมโมกก (Mokok) ของพม่าเพราะมีสีแดงสดใส แต่จากการที่เหมืองในพม่าถูกรัฐบาลทหารควบคุมจึงเป็นโอกาสให้ทับทิมของไทยเริ่มเข้าสู่ตลาดโลกทับทิมที่ขุดพบในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นสีแดงอมม่วง แดงอมน้ำตาล และแดงดำหรือเรียกกันว่า ทับทิมสยาม เมื่อผ่านกรรมวิธีการเผา ทับทิมเหล่านี้จะมีสีแดงสดใสไร้มลทินเป็นที่ต้องการของตลาดประเทศไทยจึงกลายเป็นแหล่งผลิตทับทิมที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพราะผลิตได้มากถึง 80 % นอกจากนี้ ทับทิมยังพบได้ที่อเมริกา ออสเตรเลีย แอฟริกา เคนยา
สีแดงที่สดใสของทับทิมนั้นเกิดจาการที่มีโครเมียมปะปนอยู่ในผลึกแต่ในช่วงเวลาหลายล้านปีก่อนที่ทับทิมเริ่มก่อตัวขึ้นก็เกิดรอยแยกจำนวนมากอยู่ภายในผลึกทับทิมเช่นเดียวกันดังนั้น การขุดหาทับทิมขนาดใหญ่กว่า 3 กะรัตที่มีสีแดงสด และไร้มลทินจึงทำได้ยากจึงเป็นสาเหตุให้ทับทิมเป็นอัญมณีที่มีมูลค่าสูงไม่เปลี่ยนแปลง
สิงหาคม - เพอริดอท
เพอริโด อัญมณีแห่งความกล้าหาญ
เพอริโดเป็นอัญมณีแปลกประหลาดที่นอกจากจะพบได้ตามชั้นหินอัคนีในโลกแล้วยังพบได้จากลูกอุกกาบาตนอกโลกที่ตกลงมาบนโลกของเราด้วย
คำว่า เพอริโด (Peridot) เป็นภาษาฝรั่งเศส เป็นอัญมณีในตระกูลโอลิวีน (Olivine) ซึ่งแปลว่า สีเขียวมะกอก มีความแข็ง 6.5 – 7 โมส์ (Moh) มีความวาวแบบแก้วสีของเพอริโดมีทั้งสีเขียวอมเหลือง สีเขียวใส สีเขียวอมเทา สีเขียวอมน้ำตาลแต่สีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ สีเขียวใสบริสุทธิ์
ในสมัยอียิปต์โบราณ มีการทำเหมืองเพอริโดบนเกาะ Zeberget แต่ต้องทำกันในเวลากลางคืนเท่านั้นเพราะในเวลากลางวันจะมองไม่เห็นแร่ชนิดนี้ส่วนชาวโรมันเรียกเพอริโดว่า Evening Emerald เพราะเมื่อใช้ตะเกียงส่องหาแร่ชนิดนี้ในเวลากลางคืนก็ยังคงมองเห็น ต่อมาในยุคกลางมีการนำเพอริโดไปประดับตามโบสถ์สันนิษฐานว่าชาวยุโรปที่ไปร่วมรบในสงครามครูเสดเป็นผู้ที่นำเพอริโดเหล่านี้กลับมา
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้คนมากมายเชื่อกันว่าเพริโดต์มีพลังสามารถขับไล่วิญญาณร้าย ภูตผีปีศาจได้ และช่วยคุ้มครองผู้สวมใส่ด้วยนักรบสมัยโบราณจึงมักจะพกอัญมณีชนิดนี้ติดตัวไว้เพริโดต์มีพลังที่ทำให้จิตใจของผู้สวมใส่เข้มแข็ง กล้าหาญและหากนำเพริโดต์ไปประดับกับทองจะยิ่งทำให้เพริโดต์มีพลังมากขึ้น
ทางด้านความรัก จากพลังของเพริโดต์ที่นำมาซึ่งอารมณ์และจิตใจที่มั่นคงจึงทำให้คู่แต่งงานที่สวมใส่อัญมณีชนิดนี้มีความสุขในชีวิตแต่งงานทางด้านการบำบัดรักษา เพริโดต์ช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหาร เช่นช่วยในการดูดซึมอาหาร ช่วยการทำงานของม้าม ถุงน้ำดี ตับ ตับอ่อนและรักษาโรคหอบหืดได้เพอริโด
แหล่งที่พบเพอริโด
แหล่งของเพริโดต์พบมากที่เมืองโมกก ประเทศพม่า เกาะเซนต์จอห์นในทะเลแดงรัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา จีน ศรีลังกาและล่าสุดมีการขุดพบเพริโดต์คุณภาพดีที่ปากีสถาน
กันยายน - ไพลิน
ไพลิน อัญมณีแห่งคุณธรรม
ไพลิน (Blue Sapphire) เป็นอัญมณีในตระกูลคอรันดัม (Corandam) ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกันกับทับทิม จึงมีความแข็ง 9 โมส์ (Moh) และมีความวาวแบบเพชรเช่นเดียวกัน แต่ไพลินมีแร่ไททาเนียมและเหล็กปนอยู่ในผลึกจึงทำให้ไพลินมีสีน้ำเงิน ในขณะที่ทับทิมมีแร่โครเมียมปนอยู่จึงทำให้มีสีแดง
คำเรียกอัญมณีชนิดนี้ แต่เดิมนั้นคนไทยเรียกว่า นิลกาฬดังที่ปรากฏในคำกลอนนพรัตน์ที่ว่า “ สีหมอกเมฆนิลกาฬ ” แต่ต่อมาเปลี่ยนมาเรียกกันว่า “ ไพลิน ” เนื่องจาก เมื่อประมาณ 30 – 40 ปีก่อนนิลกาฬสีน้ำเงินเข้มสดที่มาจากจังหวัดไพลิน ประเทศเขมรเป็นที่ต้องการของตลาดมากเมื่อผู้ขายนำมาขายจึงต้องระบุว่ามาจากจังหวัดไพลิน จนคำว่า “ ไพลิน ” กลายเป็นคำเรียกแทน “ นิลกาฬ ” ไปโดยปริยาย ส่วนคำว่า Sapphire นั้น มาจากคำว่า Sapphiros ในภาษากรีก แปลว่า สีน้ำเงิน
อัญมณีแห่งความจริงใจ
คนในสมัยโบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับอัญมณีชนิดนี้หลากหลาย เช่นชาวยิวเชื่อว่าไพลินเป็นเสมือนสารลับจากพระเจ้าชาวเปอร์เซียคิดว่าโลกของเราวางอยู่เหนือไพลินขนาดใญ่ ส่วนท้องฟ้า คือภาพสะท้อนสีสันอันงดงามของไพลิน
พลินเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและความซื่อสัตย์ผู้หญิงจำนวนมากจึงเลือกใช้ไพลินมาทำเป็นแหวนหมั้นนอกจากนี้ไพลินยังเป็นอัญมณีแห่งคุณธรรมอีกด้วยช่วยทำให้ผู้ที่สวมใส่มีจิตใจตั้งมั่นอยู่ในความดี ช่วยควบคุมอารมณ์เพิ่มความเชื่อมั่นและความศรัทธาต่อตัวเอง ช่วยให้ประสบความสำเร็จในชีวิตและเช่นเดียวกับอัญมณีทรงคุณค่าชนิดอื่น ๆไพลินก็มีอำนาจช่วยปกป้องให้พ้นจากภยันตรายต่าง ๆ ด้วย ทางด้านการบำบัดรักษาไพลินช่วยบรรเทาโรคหรืออาการทางสมอง โรคที่เกี่ยวกับประสาทและไขสันหลังผิวหนังอักเสบได้
ตำนานกำเนิดไพลิน
ในคัมภีร์พระเวทบันทึกไว้ว่า ไพลิน คือดวงตาของอสูรวลาซึ่งถูกเหล่าเทวดาหลอกมาสังหารแล้วแยกชิ้นส่วนร่างกายของอสูรตนนี้ออกอันเนื่องมาจากอสูรวลามีอำนาจเหนือพระอินทร์คอยกดขี่ข่มเหงเทวดาอื่น ๆชิ้นส่วนร่างของมารวลาที่ตกลงมาบนโลกมนุษย์ได้กลายเป็นอัญมณีชนิดต่าง ๆส่วนดวงตานั้นได้ตกลงมายังเกาะลังกา
แหล่งที่พบไพลิน
บริเวณที่ไพลินร่วงหล่นลงมาได้กลายมาเป็นแหล่งไพลินแหล่งใหญ่ในปัจจุบัน คือประเทศศรีลังกา และบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า เขมร
ไพลินที่ดีที่สุดพบที่แคว้นแคชเมียร์ ประเทศอินเดียไพลินของแคว้นแคชเมียร์ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค . ศ . 1881 ไพลินของแคว้นนี้มีสีน้ำเงินเข้ม แลดูนุ่มนวล ไม่อมเขียวหรืออมดำ เรียกกันว่าสีน้ำเงินกำมะหยี่ (Velvety Blue) ไพลินที่ขึ้นชื่ออีกแหล่งหนึ่ง คือ ไพลินจากซีลอนหรือประเทศศรีลังกาซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับไพลินจากแคว้นแคชเมียร์
สำหรับในประเทศไทย พบไพลินมากที่จังหวัดจันทบุรีและกาญจนบุรีไพลินของไทยส่วนใหญ่มีสีน้ำเงินเข้ม น้ำเงินอมดำ อมเขียว หรืออมฟ้านอกจากนี้ยังพบไพลินที่จังหวัดแพร่ สุโขทัย ศรีสะเกษ เพชรบูรณ์บ้างประปราย
ตุลาคม - โอปอล
โอปอล อัญมณีสีรุ้ง
โอปอล (Opal) เป็นอัญมณีในตระกูลควอร์ตซ์ (Quatrz) เช่นเดียวกับแอเมทิสต์ซึ่งเป็นอัญมณีประจำราศีกุมภ์ มีความแข็ง 5 – 6 โมส์ (Moh) มีความวาวแบบแก้วและยางสน มีหลายสีด้วยกัน เช่น สีขาว แดง เหลือง เขียว ม่วง ดำแต่ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด คือ โอปอลไฟ
จากสีสันลวดลายอันงดงามที่พาดผ่านบนตัวโอปอลนี้ ทำให้นักประวัติศาสตร์ ไพลนี (Pliny) ชื่นชมไว้ว่า มันคือศูนย์รวมความงามของเหล่าอัญมณีเพราะประกอบด้วยเปลวไฟสีแดงจากทับทิม ประกายสีม่วงเหมือนแอเมทิสต์และสีเขียวน้ำทะเลจากมรกต
คำว่า Opal มาจากภาษาสันสกฤตว่า Upula แปลว่า หินมีค่าโอปอลเป็นที่รู้จักมาเป็นเวลานานหลายพันปีมาแล้ว โดยเฉพาะประเทศในแถบตะวันตกนักโบราณคดีชื่อ Louis Leaky ขุดพบเครื่องประดับโอปอลที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งมีอายุถึง 6,000 ปี ในถ้ำที่ประเทศเคนยา มงกุฎของกษัตริย์แห่งอาณาจักร Holy Roman ประดับด้วยโอปอลชื่อ Orphanus มงกุฎของกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสก็ประดับด้วยโอปอลเช่นกันอัญมณีสีรุ้งนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนในสมัยก่อนมากมาย เช่น วิลเลียมเช็คสเปียร์ (William Shakespeare) เซอร์ วอลเตอร์ สก็อต (Sir Walter Scott) ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ใหม่ ๆ แก่โอปอล
สัญลักษณ์แห่งความหวังของชาวตะวันตก
ชาวตะวันตกเชื่อกันว่าโอปอลเป็นหินแห่งโชคลาง มีความเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์สามารถบอกเหตุล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดเหตุดีหรือเหตุร้ายโอปอลยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง เพราะมันเต็มไปด้วยสายรุ้งแห่งความหวังผู้ที่สวมใส่อัญมณีชนิดนี้จะสมหวังในสิ่งที่ต้องการ ชาวอาหรับเชื่อว่าโอปอล คืออัญมณีที่ตกลงมาจากสวรรค์
ทางด้านการบำบัด หากสตรีมีครรภ์สวมใส่โอปอลจะช่วยให้คลอดบุตรง่ายหากทำเป็นเครื่องประดับผมจะช่วยให้ผมดำเงางาม ในยุคกลางเชื่อกันว่าโอปอลทำให้สายตาดี หากกลัดเป็นเข็มกลัดไว้ที่หน้าอกจะช่วยให้ปอดดีขึ้น
ตำนานการเกิดโอปอล
สีสันหลากหลาบนโอปอลมีตำนานเล่าขานกันว่า เทพแห่งดวงอาทิตย์ เทพแห่งไฟและเทพแห่งสวรรค์หลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน ทำให้เทพทั้งสามบาดหมางกันเทพเจ้าซีอุสจึงแก้ปัญหาโดยสาปหญิงผู้นั้นให้กลายเป็นหมอกแต่เทพทั้งสามกลับกลัวว่าตนเองจะจำหญิงผู้นั้นไม่ได้เทพแห่งดวงอาทิตย์จึงให้สีทองแก่นาง เทพแห่งไฟให้สีแดงส่วนเทพแห่งสวรรค์ให้สีน้ำเงิน เทพซีอุสเห็นว่าเรื่องราววุ่นวายมากขึ้นจึงเสกให้ร่างของหญิงสาวกลายเป็นโอปอล ตั้งแต่นั้นมาโอปอลจึงมีสีสันสวยงามดังที่เห็น
ในทางวิทยาศาสตร์การที่โอปอลมีสันหลากหลายนั้นเกิดจากอนุภาคของทรายซึ่งเป็นส่วนประกอบของโอปอลเรียงตัวไม่เป็นระเบียบทำให้เกิดช่องว่างภายในเป็นโพรงเล็ก ๆ และมีน้ำแทรกอยู่ในช่องว่างจึงเกิดแสงสะท้อนให้เห็นเป็นสีสันต่าง ๆ มากมาย
แหล่งที่พบโอปอล
โอปอลพบมากที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย แหล่งอื่น ๆ ที่พบ เช่นประเทศฮังการีซึ่งเคยเป็นเหมืองโอปอลในอดีต ประเทศเม็กซิโก ฮอนดูรัส เนวาดาส่วนในประเทศไทยพบที่จังหวัดลพบุรี ลำปาง โคราช
พฤศจิกายน - โทแพซ
โทแพส อัญมณีแห่งมิตรภาพ
โทแพส (Topaz) เป็นอัญมณีที่มีความแข็ง 8 โมส์ (Moh) มีความวาวแบบแก้วจัดว่าเป็นอัญมณีที่มีความแข็งพอสมควร เหมาะที่จะนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพราะทนต่อรอยขีดข่วน คำว่า “Topaz” มาจากคำว่า Topas แปลว่า ไฟ ประกายหรืออาจจะมาจากคำว่า Topazion ซึ่งเป็นชื่อเกาะในทะเลแดงซึ่งเป็นสถานที่แรกที่ขุดพบพลอยชนิดนี้
โทแพสที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ โทแพส Braganza ซึ่งประดับอยู่ที่มงกุฎของกษัตริย์แห่งโปรตุเกสโทแพสไม่ได้มีเพียงสีเหลืองสีเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสีสันอื่น ๆ อีก เช่น สีน้ำตาลสีส้ม สีลูกเชอร์รี่ สีแดง สีชมพู นอกจากนั้น ยังมีโทแพสสีฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งสีแต่โทแพสสีนี้เกิดจากการฉายรังสีโทแพสขาวให้เกิดสีฟ้าขึ้น
ชาวอียิปต์เชื่อว่าสีของโทแพสเกิดจากแสงสีทองของเทพราซึ่งเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ทาบทาลงไปโทแพสจึงเป็นเครื่องรางที่มีพลังขจัดสิ่งชั่วร้ายได้และความลุ่มหลงต่าง ๆ ได้ชาวโรมันก็เชื่อว่าโทแพสมีความเกี่ยวข้องกับเทพจูปิเตอร์ซึ่งเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์เช่นกัน
โทแพสเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ สิริมงคลของการสวมใส่อัญมณีชนิดนี้ คือ มีเสน่ห์เป็นที่รักแก่ผู้ที่พบเห็น ชีวิตรุ่งเรือง โทแพสยังมีคุณสมบัติช่วยรักษาโรคหวัดวัณโรค หอบหืด และช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้นหากวางไว้ใต้หมอนขณะนอนหลับจะช่วยให้ร่างกายมีพลังในการทำงาน ยังเชื่อกันอีกว่าอัญมณีสีทองนี้จะเปลี่ยนสีหากอาหารหรือเครื่องดื่มมียาพิษ
แหล่งที่พบ โทแพส
โทแพสพบมากที่ประเทศบราซิล ศรีลังกา ไนจีเรีย รัสเซีย มาดากัสการ์ พม่า ซีลอนไทย
ธันวาคม - เทอร์ควอยซ์
เทอร์ควอยซ์... หินแห่งตำนาน
สีฟ้าของเทอร์ควอยซ์ คือเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนไม่ว่ายุคใดหรือวัยไหนให้หลงใหลอย่างไม่เสื่อมคลาย เทอร์ควอยซ์ (Turquoise) หรือพลอยขี้นกการเวก เป็นอัญมณีที่เป็นที่รู้จักกันมานานกว่า 5,000 ปีการขุดค้นทางโบราณคดี พบกำไลทองคำที่ประดับด้วยเทอร์ควอยซ์ อะมีทีสต์ (Amethyst) ลาพิส ลาซูลี (Lapis Lazuli) ในสุสานราชวงศ์แรกของอียิปต์มัมมี่พระศพตุตันคาเมนก็ห่อหุ้มด้วยทองคำประดับอัญมณีหลากหลายชนิดรวมทั้งเทอร์ควอยซ์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ชื่อ "Turquoise" เพิ่งใช้เรียกอัญมณีชนิดนี้ในช่วงที่เกิดสงครามครูเสดเนื่องจากบรรดานักรบชาวยุโรปที่เดินทางไปร่วมรบในสงครามครูเสดได้นำอัญมณีชนิดนี้กลับมาชื่อของอัญมณีชนิดนี้แปลว่า หินจากตุรกี (Turkish Stone)
สีของเทอร์ควอยส์มีตั้งแต่สีฟ้าไปจนถึงสีเขียวอมเทาแต่ที่นิยมมากที่สุดและมีคุณภาพดีที่สุด คือ สีฟ้าของท้องฟ้าในเนื้อพลอยมักจะมีลายเส้นบาง ๆ พาดพันไปมาเป็นลวดลายสวยงามเหมือนใยแมงมุม
ผู้คนในสมัยโบราณเชื่อกันว่า เทอร์ควอยซ์เป็นหินศักดิ์สิทธิ์ เป็นหินนำโชคนำความมั่งคั่งร่ำรวยมาสู่ผู้สวมใส่บอกเหตุล่วงหน้าได้และยังเป็นเครื่องรางป้องกันภัยได้
ชาวอียิปต์และชาวแอซเท็ก (Aztec) ชนเผ่าพื้นเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของเปรูเชื่อว่าเทอควอยซ์เป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองชาวแอซเท็กใช้เทอร์ควอยซ์ประดับหน้ากากที่ใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีเรียกฝนชาวมุสลิมใช้เทอร์ควอยซ์มาประดับคู่กับไข่มุกบนหมวกโพกศีรษะเพื่อคุ้มครองตนจากสิ่งชั่วร้ายชาวอินเดียนแดงเชื่อว่า เทอร์ควอยซ์เป็นสัญลักษณ์แห่งท้องฟ้าเป็นดังลมหายใจและนำมาซึ่งจิตวิญญาณของท้องฟ้าและท้องทะเล ทำให้ยิงธนูได้แม่นและยังเชื่อกันว่าเทอร์ควอยซ์ที่ดีที่สุดนั้นถูกซ่อนไว้ในดินแดนที่อยู่สุดปลายสายรุ้ง
ส่วนผู้ที่ขี่ม้าในสมัยก่อนนิยมพกอัญมณีชนิดนี้ติดตัวไว้เพื่อป้องกันการตกม้าความเชื่อดังกล่าวได้สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยผู้ที่ใช้พกเทอร์ควอยซ์ คือผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับเครื่องบิน หรืออาชีพอื่นที่อาจเกดอุบัติเหตุได้ง่ายและหากผู้สวมใส่กำลังตกอยู่ในอันราย เทอร์ควอยซ์จะเปลี่ยนสีแต่จากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ พบว่าเทอร์ควอยซ์เปลี่ยนสีไปเนื่องจากอิทธิพลของแสงเครื่องสำอาง ฝุ่น ค่า ph ของผิวผู้สวมใส่ซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีขึ้น
สีฟ้าของเทอร์ควอยซ์ยังช่วยคลายเครียด ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และเทอร์ควอยซ์ยังเป็นอัญมณีที่มีคุณสมบัติในด้านความรัก ความเมตตา มิตรภาพอีกด้วยนอกจากนี้เทอร์ควอยซ์มีทองแดงเป็นส่วนประกอบจึงมีคุณสมบัติช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจได้ดีช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ อาการปวดสะโพก
แหล่งที่พบเทอร์ควอยซ์
แหล่งเทอร์ควอยส์พบมากที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อิสราเอล อิหร่านอัฟกานิสถาน เปอร์เซีย เนวาดา คาบสมุทรไซนาย
การดูแลรักษา
สีสันอันสดใสของเทอร์ควอยส์ทำให้ผู้คนนิยมสวมใส่กันมาก อย่างไรก็ตามเทอร์ควอยส์มีความแข็งเพียง 6 ซึ่งจัดว่าเป็นอัญมณีเนื้ออ่อนเกิดรอยขูดขีดง่ายหรือสีจางได้จึงมีการเคลือบเทอร์ควอยส์ด้วยเรซินเพื่อทำให้เทอร์ควอยส์คงทนและมีสีสันสดใสนอกจากนี้ เมื่อใช้งานเสร็จแล้ว ควรทำความสะอาดด้วยผ้าและพยายามไม่ให้เทอร์ควอยส์โดนความร้อนสูง